ในช่วงไม่นานมานี่นะครับ ผมได้มีโอกาสทำธุรกิจนึงที่ผมอยากลองทำมานานแล้ว
นั้นคือ ธุรกิจร้านอาหาร
ผมทำอาหารไม่เป็น แต่ผมค่อนข้างมั่นใจในรสนิยมอาหารของตัวเอง เพราะได้กินอาหารมาเยอะหลายร้านอยู่
อย่างน้อยผมพอจะรู้ว่ารสชาติแบบไหน คือ อาหารที่อร่อย แม้ว่าจะทำอาหารไม่เป็น
ธุรกิจนี้ผมมีหุ้นส่วนคือแฟนของผมที่ทำอาหารพอจะเป็น และพอมีฝีมืออยู่บ้าง แต่ไม่เคยมีประสบการณ์ทำอาหารขายเลย ^^
ผมเปิดร้านอาหารแบบเล็กๆในศูนย์อาหารของโครงการออฟฟิศให้เช่าแห่งนึงมา
ร้านของผมเป็นล็อคเล็กๆขนาดประมาณ 7 ตร.ม. ขายอาหารตามสั่ง
สาเหตุที่เลือกที่นี่มาทำร้านอาหาร
1.ที่นี่จัดสถานที่โครงการค่อนข้างสวยมาก ทำเป็นธีมธรรมชาติ ป่าฝน ผมเห็นสถานที่แล้วชอบการตกแต่งมาก อนาคตน่าจะมีการเติบโต มีคนมาเช่าออฟฟิศมากขึ้น ลูกค้าผมก็จะมีมากขึ้นตาม
2.โครงการออฟฟิศนี้มีคนเช่าอยู่ประมาณ 2-300 คน
3.ที่นี่ตั้งอยู่ในแหล่งที่แทบไม่มีร้านอาหารเลย และเป็นเส้นทางที่ไม่เหมาะกับเดินไปไหนเลย เพราะไกลและแทบไม่มีอะไรขายเลย ถ้าจะเดินทางไปข้างนอกต้องใช้รถเท่านั้น ซอยลึกมากด้วย คนที่อยู่ในออฟฟิศส่วนใหญ่น่าจะมากินอาหารที่ศูนย์อาหารไม่มากก็น้อย
4.ในศูนย์อาหารมีร้านมาเปิดแค่ร้านเดียว และขายอาหารคนละชนิดกับผม เรียกว่าคู่แข่งก็น้อย
5.สภาพแวดล้อมในศูนย์อาหารจัดเตรียมมาดีมาก ครัวติดฮูดอากาศ มีที่ดักไขมัน ซิงค์ล้างจาน
สภาพครัวสะอาดน่าใช้
สภาพในห้องอาหารมีโต๊ะ เก้าอี้ให้อย่างดี ติดแอร์
มีห้องน้ำให้ในศูนย์อาหาร สะอาด
มีที่ล้างจานส่วนกลางให้ใช้อย่างดี
โดยรวมทางโครงการเตรียมพื้นที่ให้มาอย่างดี
6.ใกล้บ้าน เดินทางสะดวก
7.มีที่จอดรถ ขนของ จอดรถสะดวก
8.ผมคิดว่าแม้ว่าคนที่นี้อาจจะไม่เยอะมาก แต่คิดว่าจะขยายตลาดผ่านฟู้ดเดลิเวอรี่ ไม่พึ่งพาคนในโครงการเท่าไหร่
9.ค่าเช่าไม่แพงมาก สมเหตุสมผล
10.อย่างน้อยที่สุด แม้ว่าจะขายไม่ได้ แต่ผมได้ครัวมาใช้งาน แฟนผมจะได้มีพื้นที่ให้ทดลองทำอาหาร คิดซะว่าไม่ได้เช่าร้าน แต่เช่าครัว
การตรวจสอบก่อนตัดสินใจเช่า
1.ผมลองหาที่เช่าอื่นๆดูบ้างเหมือนกัน ผมชอบที่นี่มากกว่า น่าจะเป็นเพราะเรื่องแวดล้อมด้วยต้นไม้ด้วย
2.ผมมาดูลาดเลาตอนเที่ยง นับจำนวนรถที่จอดในวันทำงาน พบว่าจำนวนรถที่จอดก็มากพอสมควร คิดว่าพนักงานอย่างน้อยๆน่าจะมีถึง 200 คน
3.สภาพศูนย์อาหารในช่วงกลางวัน ยังมาตรวจสอบไม่ได้ เพราะอีกร้านเค้าก็ยังไม่ได้เปิด ทำให้กะจำนวนลูกค้าที่มากินตอนกลางวันยังไม่ได้
การตัดสินใจ
ผมดูสภาพของโครงการที่นี่แล้วชอบการตกแต่ง สภาพแวดล้อม ชอบธรรมชาติ และชอบสภาพครัวที่โครงการตระเตรียมมาให้
แม้ว่าที่อื่นอาจจะหาที่ถูกกว่านี้ได้ แต่ก็ต้องลงทุนอุปกรณ์ครัวเพิ่มอีก ลงทุนโต๊ะอาหาร
เงินลงทุน เงินวางมัดจำ ที่คิดว่า หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน อยู่ไม่ถึงตามสัญญาที่ตกลงไว้ ก็ยังเป็นเงินจำนวนที่สูญเสียไปก็ยังใช้ชีวิตได้ปกติ
จำนวนลูกค้ายังไม่แน่ใจ แต่คิดว่าอย่างน้อยๆก็น่าจะขายได้บ้าง และหาวิธีขายทางออนไลน์เอา
ผลลัพธ์
ผมขายได้ประมาณ 10 วัน และตัดสินใจเลิกกิจการเลยครับ มีหลายเหตุผลเดี๋ยวผมจะเอามาเล่าให้ฟัง
แต่เหตุผลหลักๆที่ตัดสินใจเลิก เพราะผมดูแล้วธุรกิจนี้ใช้เวลา แรงกายเยอะมาก และได้ผลตอบแทนที่เรียกว่าต่ำมากๆเลย
ในวันแรกผมขายไปได้ 6 จาน
แฟนของผมทำอาหารไปเป็นแบบใส่ถาด กะว่าถ้าลูกค้ามาจะได้ตักใส่จานให้กินได้เลย
เพราะคิดว่าช่วงเที่ยงคนน่าจะเยอะ จะได้ไม่เสียเวลารอผัดเป็นจานต่อจาน
1 ชั่วโมงตอนเที่ยงจะทำได้สักกี่จาน และลูกค้าน่าจะไม่เลือกที่จะรอ
เหมือนตอนเราเป็นพนักงานประจำแหล่ะ อยากจะกินอะไรที่เร็ว จะได้เหลือเวลาไปนั่งพักผ่อน หรือทำอย่างอื่น
วันแรกเลยทำเป็นข้าวราดแกง ขายไปได้ 6 จาน
แต่กับข้าวที่เหลือบานเลยครับ เพราะเราไม่รู้ปริมาณของคนที่จะมากิน
เรียกว่าอาหารที่ทำมาหมดเนื้อไปเป็นโลๆเลย
6 จานอย่าว่าแต่ค่าเช่า ค่าวัตถุดิบที่ต้องเททิ้งอีก
ความโหดของการขายอาหาร คือ มีการลงทุนทุกวัน
จ่ายเงินซื้อของ เลือกเอาอาหารมาปรุงแล้ว นำไปเก็บหรือขายซ้ำไม่ได้ ขายไม่หมดในวันนั้นก็เป็นต้นทุนของวันนั้น
คล้ายๆแกมบิท เดิมพันทุกวันเลยก็ว่าได้ ต้องมีการลงเงินทุกครั้งที่จะมาขาย
ลองคิดกลับกันนะครับ อย่างผมขายของเล่น
ถ้าผมซื้อของมาเมื่อครึ่งปีก่อน ต่อมามีคนซื้อ ผมก็ยังขายของชิ้นนั้นได้ แม้ว่าจะผ่านมาครึ่งปี
ผมไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มสำหรับการขายในอีกครึ่งปีต่อมา
แต่ธุรกิจอาหารไม่ใช่แบบนั้น
วันต่อๆมาเลยเลิกทำเป็นใส่ถาดราดข้าวแล้ว ทำเป็นอาหารตามสั่งเลย สั่งมาก็ทำ ไม่สั่งก็ไม่ทำ
ปรากฏว่าเรายังไม่ได้ทำป้ายหน้าร้านอะไรเลย ลูกค้าไม่รู้ว่าเราขายอะไร
คนมาสั่งเราน้อยมาก ส่วนใหญ่เค้าสั่งร้านข้าวแกงข้างๆเกือบทุกคน
พอลองขายไปเรื่อยๆลองเอาเมนูมาขายที่คอนโดตัวเอง
พบว่าเฉลี่ยแล้ววันนึงๆขายได้ค่อนข้างน้อยมาก
อย่าว่าแต่กำไรจะเป็นค่าแรงเลย แค่ค่าเช่ายังจ่ายไม่ได้เลย
ร้านข้าวข้างๆเค้าถือว่าเป็นร้านมืออาชีพนะครับ
เค้าขายที่อื่นมากว่า 30 ปีแล้ว เค้าอยู่กับอาชีพนี้มานานมาก
แม้ว่าจำนวนคนที่มากินในโครงการนี้จะน้อย
แต่เค้ายังไปหาออเดอร์จากข้างนอกมาได้
ผมเฝ้าสังเกตคนที่ขึ้นมากินในตอนพักเที่ยง นั่งนับจำนวนคนที่ขึ้นมากินในโครงการนี้
พบว่ามีค่อนข้างน้อยมากๆ ตกเฉลี่ยมีคนมากินตั้งแต่เช้าถึงปิดร้าน จะอยู่ที่ประมาณ 10-25 คน เท่านั้นเอง
จำนวนปริมาณนี้ จริงๆ แค่ 1 ร้านยังขายให้อยู่รอดไปไม่ได้เลย
ผมไปเดินสำรวจ ตอนเวลาพักเที่ยง เฝ้าดูพฤติกรรมคนในออฟฟิศของโครงการนี้ ว่าส่วนใหญ่ไปกินข้าวกันที่ไหน
ในอุดมคติที่ผมคิดว่านะครับ คิดว่าพอเที่ยงแล้วคนจะกรูกันออกมา
เดินเล่นนั่งเล่น รออาหารผ่านแก็ป หรือนั่งรถออกไปกินข้าว ข้างนอกกัน
ปรากฏว่า รอตั้งแต่เที่ยงถึงเที่ยง 20นาที คนที่เดินออกมาจากตึกต่างมีไม่ถึง 10 คน
คนประมาณ 300 คน ไม่เดินออกมากันเลยนะครับ
อ้าวแล้วเค้ากินกันที่ไหนล่ะ?
พอลองสังเกตในอาคาร คือ เค้าก็เริ่มตั้งวงกินข้าวกันแล้ว
สรุปคือ คนส่วนใหญ่เค้าซื้ออาหารมาเตรียมกินมื้อเที่ยงกันครับ
ที่จริงตรงส่วนนี้ผมก็คิดว่าน่าจะทำการตลาดได้อยู่นะครับ
เปลี่ยนพฤติกรรมการกินของเค้า เพราะก่อนที่ร้านจะมาเปิด แถวนี้คือไม่มีร้านอาหาร
คนก็คงจะยังไม่รู้ว่ามีร้านอาหารมาเปิดแล้ว เค้าก็เลยต้องซื้ออาหารเตรียมมาเอง
แต่สิ่งที่ผมได้เห็นคือ ในโซนออฟฟิศนี้ไม่น่าจะมีคนถึง 300 คนแน่เลย
เพราะดูจากปริมาณของคนที่เดินออกมาตอนพักเที่ยง หรือคนที่มูฟเม้นอยู่ในอาคาร
ผมสัมผัสได้ว่าคนไม่น่าจะเยอะเกิน 150 คนด้วยมั้ง
ผมได้เรียนรู้ว่า ธุรกิจนี้ มีความสูญเปล่าของวัตถุดิบเกิดขึ้นค่อนข้างเยอะ
อาหารแม้ว่ากำไรอาจจะเยอะประมาณนึงต่อจาน แต่ต้องเผื่อสำหรับต้นทุนที่จะเกิดการสูญเสียของวัตถุดิบค่อนข้างเยอะมาก
เช่น ข้าวหุงมาเหลือ หมูเสีย ทำอาหารเหลือ
กับข้าวที่คิดว่าจะทำใส่ถาดให้ลูกค้าสั่งกินได้เลย หลายครั้งก็ทำมาแล้วเหลือ ส่วนที่เหลือถ้าไม่กินเอง ก็ต้องทิ้ง
ถ้าขายอาหารแล้วคุณจ้างคนมาทำให้ไม่ได้ล่ะก็ งานนี้จะเหมือนงานอุทิศชีวิตเพื่ออะไรสักอย่างเลย
เพราะปริมาณงานค่อนข้างเยอะ จุกจิกมาก ล้างหม้อ ล้างกะทะ ล้างทัพพี ล้างแล้วล้างอีก เตรียมวัตถุดิบ จัดเก็บ เช็ดถู และอื่นๆอีกมากมาย
แฟนผมที่เหมือนจะเป็นคนปรุงอาหาร แต่ที่จริงแล้วเวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการจัดการสต็อก และเตรียมวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหาร
เวลาในการจะลงกะทะ หรือต้มอาหารในหม้อ มีไม่เยอะเลย
แต่ละวันใช้เวลาทำงานมากกว่า 8 ชั่วโมง
ทั้งๆที่ศูนย์อาหารนี้ให้ขายได้ถึง บ่ายสามโมง
ซึ่งผมจะขายได้แค่มื้อเช้าและเที่ยง
วันนึงขายได้ไม่ค่อยจะถึง 10 จาน
แต่ใช้เวลาทำงานมากกว่างานประจำ และได้รายได้ติดลบ
คือนอกจากไม่ได้ค่าแรงแล้ว ยังต้องจ่ายเงินให้กับค่าวัตถุดิบและค่าเช่า
เรียกว่า ได้ค่าแรงน้อยกว่าคนที่รับค่าแรงขั้นต่ำอีก
แน่นอนว่านี่คือพึ่งเริ่มกิจการมันจะต้องลำบากอยู่แล้ว
แต่ผมคิดดูแล้ว ถึงแม้ว่าจะปั้น พัฒนาต่อไป ก็ต้องใช้เวลาและเงินลงทุนอีก
ผมคิดว่า ผมไม่เหมาะกับอาชีพที่ลงทุนเวลา และแรงงานเยอะขนาดนี้ ในขณะที่เรายังมีหนทางสร้างรายได้จากทางอื่นอยู่
มีอยู่บางวันผมเตรียมร้านเสร็จตอนเที่ยงคืนก็มีนะครับ
ตั้งแต่ทำร้านอาหารมาไม่ได้แตะเน็ตฟลิกซ์เลย เวลาว่างที่จะมาทำอะไรเพื่อพัฒนาด้านอื่นไม่มีเลยครับ
นี่ขนาดยอดขายแทบไม่มีนะครับ
แทบทุกวันจะต้องไปแม็คโครเกือบตลอด เพราะทุกวันเราจะได้รู้เพิ่มเติมอยู่ตลอดว่าเราขาดอะไรไป (จ่ายเงินตลอด ในขณะที่รายได้แทบไม่มี)
ถ้าร้านอาหารของคุณมีรายได้ไม่มากพอที่จะจ้างคนมาทำให้ ผมคิดว่าไปขับแก๊ปน่าจะยังเป็นอาชีพที่ดีกว่า อย่างน้อยก็เรื่องของใช้เวลาน้อยกว่า
บทเรียนที่ได้รับจากธุรกิจครั้งนี้
1.ทำเลเป็นสิ่งที่สำคัญมาก แม้ว่าเราคิดว่าจะไม่พึ่งพาลูกค้าในโซนนั้น แต่สุดท้ายยังไงก็จำเป็น
ถ้าไม่มีลูกค้าประจำ หรือแหล่งออเดอร์จากที่อื่น ยังไงเราก็ต้องบริการลูกค้าในระแวกนั้น
เพราะอาหารเป็นสินค้าที่ขนส่งไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่
มีพี่คนนึงที่ขายอาหาร เค้าย้ำกับผมเลยว่าทำเลสำคัญมากๆ เพราะหลังจากเค้าเปลี่ยนทำเล ยอดเค้าดีขึ้นเป็นอย่างมากเลย
เรื่องนี้ทำให้ผมตระหนักได้ว่า สถานที่ขายแม้ว่าจะสภาพแวดล้อมดีแค่ไหน ก็ไม่สำคัญเลยถ้าจำนวนลูกค้ามีไม่ถึงจุดคุ้มทุน
สำหรับผมคิดว่า ในพื้นที่นั้นควรจะต้องมี200 คนขึ้นไปที่เป็นคนเดินมาใช้บริการศูนย์อาหาร
และอาจจะมากินร้านเราอย่างน้อย 50 จาน ขึ้นไป ถึงจะพออยู่ได้
2.การทำธุรกิจอาหารโดยเจ้าของเอง เป็นงานที่ต้องอุทิศชีวิตทำ เหนื่อยมากๆครับ สมคำเล่าลือเลย
มีเพื่อนหลายคนแล้วที่ทำร้านอาหารทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันเลย
3.ขายอาหารไป 3 จาน ในแต่ละวัน แต่ต้องล้างอุปกรณ์ทำครัวมากกว่า 20 อย่างในแต่ละวัน
4.ธุรกิจอาหารที่ไม่มีตู้เย็น และใช้ถังน้ำแข็งในการเก็บอาหารสด คุณจะมีต้นทุนสำหรับน้ำแข็งเฉลี่ยเดือนละ 1500 บาท สำหรับถังน้ำแข็ง 100ลิตร
ส่วนใหญ่เติม 1 ถุง 50 บาทจะอยู่ได้ 1 วัน
ถ้าไม่เติมของก็เน่าก็เสียอีก
ผมเคยเจอมาแล้วพบว่าอยู่ๆเนื้อผมก็เริ่มมีกลิ่น เหมือนจะเริ่มเสีย ทั้งที่ซื้อมาแค่ไม่ถึง 4 วัน คิดว่าน่าจะเป็นที่ไม่ได้เติมน้ำแข็งให้เพียงพอ
สาเหตุหลักที่ผมตัดสินใจเลิก
1.ผมพบว่าจำนวนคนที่เข้ามากินร้านอาหารในโครงการน้อยมากๆ เฉลี่ยแค่วันละ 20 คนเท่านั้น และจำนวนของคนในโครงการนี้คิดว่าน่าจะไม่ถึง 200 คน
2.ออเดอร์ออนไลน์ ไม่มีเลย แม้ว่ายิงแอดโปรโมท หรือทำโปรโมชั่นลดราคาแล้วก็ตาม แน่นอนว่าถ้าจะพัฒนาต่อก็น่าจะทำได้ แต่ผมคิดว่าไม่คุ้มค่าต่อเวลาและเงินที่จะเสีย
3.เรื่องของเวลา
ธุรกิจขายอาหารที่เจ้าของเป็นคนทำเองทั้งหมด ต้องใช้เวลาและแรงกายเยอะมาก
นอกจากช่วงเวลาที่ต้องอยู่ร้าน ยังมีช่วงเวลาที่ต้องไปซื้อของอีก
ในช่วงแค่ 10 วันนี้ที่ขาย ผมไปแมคโครทุกวันเลย เฉลี่ยวันนึงใช้เวลากับงานนี้เกินวันละ 12 ชั่วโมง
ขนาดปิดร้านตอนบ่ายโมงครึ่ง ใช้เวลาเก็บกวาด เก็บของอีกกว่า 2 ชั่วโมงเฉยเลย กว่าจะได้ออกจากร้าน
ผมคิดว่าผมมีสิ่งอื่นที่อยากทำอยู่ ไม่อยากใช้เวลาทั้งหมดในแต่ละวันกับธุรกิจนี้อย่างเดียว
4.ร้านผมไม่ได้สูตรอาหารที่เด็ด ที่พิเศษพอจะดึงลูกค้าให้เป็นแฟนคลับได้
5.ถึงผมจะพัฒนาต่อไป ก็คิดว่าน่าจะทำให้มีคนกินเยอะขึ้นมากกว่านี้ได้อยู่ อาจจะทำให้ร้านสามารถอยู่ได้มีกำไรอยู่บ้าง
แต่น่าจะเสียเวลาเยอะพอควรแน่เลย
แต่ไม่คิดว่าจะมีลูกค้าเยอะขนาดทิ้งอาชีพล่ามมาทำได้
บทสรุปการทำธุรกิจอาหารครั้งนี้
แม้ว่าจะเฟลบ้างที่ล้มเหลวกับธุรกิจ แต่ผมได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ และได้ลองทำสิ่งที่อยากทำ
แม้จะผิดพลาด แต่ก็เงินที่เสียไปก็ไม่ได้หนักขนาดทำให้ชีวิตมีปัญหา
ผมตัดสินใจเลิกธุรกิจทั้งที่ทำมาในเวลาไม่นาน
ผมคิดว่ายิ่งถ้าเราเข้าใจปลายทางแล้ว ยิ่งทำต่อยิ่งเสียเวลา เสียเงินเพิ่มขึ้น ยิ่งเลิกเร็วเท่าไหร่ยิ่งได้ประโยชน์ ได้เวลากลับมาเร็วขึ้นเท่านั้น
สุดท้ายนี้ถ้าเรื่องราวธุรกิจของผมเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านบ้างยังไงก็ช่วยกดไลค์ให้ด้วยนะครับ
ขอบคุณครับ