อีกคำถามที่มักมีคนชอบถามผม ไม่ว่าจะไปทำงานที่ไหน คือ ใช้เวลานานมั้ยกว่าจะเป็นล่ามได้
สำหรับคำถามนี้ผมขออ้างอิงบทความที่เคยลงไว้ครั้งก่อนๆนะครับ ที่เคยเล่าเรื่องอย่างละเอียดตั้งแต่เริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นมา
ใช้เวลาเรียนภาษาญี่ปุ่นนานขนาดไหนกว่าจะเป็นล่ามญี่ปุ่นได้?
ตัวผมเองใช้เวลาเรียนทั้งหมด 10 ปีครับ ถึงจะเป็นล่ามภาษาญี่ปุ่นได้
ในระยะเวลานี้ แบ่งเป็น
เรียนพิเศษตอน ม.ปลาย 2 ปี
เรียนมหาวิทยาลัยเอกภาษาญี่่ปุ่น 4 ปี
ทำงานที่บริษัทญี่ปุ่นอีก 4 ปี ในช่วงที่ทำงาน 4 ปี นี้ได้งานที่เป็นล่ามด้วย 6 เดือน
งานอื่นก็ได้มีโอกาสใช้ภาษาญี่ปุ่นคุยกับหัวหน้าคนญี่ปุ่นอยู่บ้าง และมีโอกาสได้เป็นล่ามอยู่บ้างนิดหน่อย
ยิ่งช่วงแรกที่เคยได้ทำงาน ยิ่งอ่อนหัดมากในด้านภาษา คือจบมาแล้วพูดอะไรแทบไม่ได้เลย ฟังก็แทบไ่ม่ได้
ตอนที่ทำงานเป็นล่าม นี่คือ ฝันร้ายแทบทุกวันเลย ทุกครั้งที่โดนให้แปลล่าม เราสั่น เรากังวล และเครียดทุกครั้ง
เพราะแปลไม่ได้เลย ฟังก็ไม่รู้เรื่องเลย !!
8 เดือนที่ทำงานที่นั่น แม้ว่างานแปลเอกสารจะแปลได้ แต่การล่ามของผมนั้นค่อนข้างแย่มากครับ
จนถึงขนาดไม่มีใครคาดหวังการแปลจากเราเลย และมักโดนคนไทยต่อว่า นินทาลับหลังเรื่องการแปลของเราอยู่บ่อยๆ
ในช่วงนั้นเป็นประสบการณ์ที่แย่มากๆเลยครับ
ตอนนั้นคือที่เป็นล่าม ผมเรียนภาษาญี่ปุ่นมาแล้ว 8 ปี นะครับ
หลังจากนั้นกว่าจะเข้ารูปเข้ารอยก็อีก สองปีหลังจากนั้นครับ
คือผมได้งานเป็นเซลครับ เลยลาออกจากล่ามมาทำเซล
แปลกที่พอทำงานเซล แล้วผมกลับก้าวหน้าด้านภาษามากขึ้น มีความมั่นใจมากขึ้นตามด้วย
คงเพราะระดับการใช้ภาษาญี่ปุ่นในงานเซล กับงานล่ามมันต่างกัน
คืองานเซลการสื่อสารกับเจ้านายไม่ได้ต้องแปลทุกคำพูด คนญี่ปุ่นสื่อสารกับเราแบบเข้าใจง่าย
และเราตอบกลับไปแบบง่ายๆ เอาเข้าใจความหมาย
แต่งานล่าม คือ จำเป็นต้องเข้าใจ เข้าใจศัพท์เฉพาะทั้งหมด เราถึงจะแปลได้รู้เรื่อง ครบถ้วน
นอกจากนั้นน่าจะเพราะผมได้อยู่ในสังคมที่เหมาะต่อการพัฒนาความสามารถของผมมากกว่าที่เก่า
ถ้าลงรายละเอียด ก็คือ ที่เก่าตอนเป็นล่ามเป็นองค์กรขนาดใหญ่ มีคนเยอะอยู่พอสมควร สังคมใหญ่ประมาณนึง
พอมีอะไรแล้ว เราทำอะไรผิดพลาด ทำงานต่ำกว่าระดับมาตรฐาน ก็ถูกเค้านินทา
ตอนนั้นผมยังจัดการความรู้สึกตัวเองยังไม่ค่อยได้ บวกกับมีปัญหาด้านความสามารถในการทำงานอีก
เรียกว่าเสียความมั่นใจในงานอยู่แล้ว ยังโดนต่อว่าจากสังคมต่ออีก ก็เลยยิ่งหมดความมั่นใจเลย
พอเกิดความกลัวขึ้นมา เราก็ไม่กล้าทำอะไร มัวแต่คอยทำสิ่งที่ไม่ให้โดนด่า
ไม่กล้าออกนอกกรอบ กดดันตัวเองว่าเป็นคนไม่ได้เรื่องอย่างที่สังคมคิด
ในเรื่องความลำบากช่วงแรกของการทำงานล่าม ผมมีเล่าไว้ในบทความก่อนๆตามลิ้งด้านล่างนี้เลยครับ
งานล่ามลำบากสุดคือช่วงแรกของการทำงาน
จุดเปลี่ยนผัน
พอมาอยู่ที่ใหม่ เป็นองค์กรขนาดเล็ก พนักงานในบริษัทมีไม่ถึง 20 คน
สังคมค่อนข้างอิสระ ไม่ค่อยมีใครมาต่อว่า นินทาผม ผมไม่ค่อยรู้สึกถึงว่าตัวเองเป็นตัวประหลาด
มีรุ่นพี่ที่เก่งมากๆ และนิสัยดี ตามประกบการทำงาน
คนในบริษัทเข้าใจในความใหม่ที่เราพึ่งมา แม้ว่าอาจจะผิดพลาดบ้างก็ให้อภัย
แต่ผมไม่ค่อยทำอะไรให้มีปัญหานะครับ งานส่วนใหญ่จัดการได้หมด
และมีรุ่นพี่ช่วยแนะนำ ให้คำปรึกษา งานผมเลยออกมาไม่ค่อยผิดพลาด
ในช่วง 2 ปีของงานเซล นั้นเลยเป็นการเรียนภาษาญี่ปุ่นของผมในแบบค่อยเป็นค่อยไป
เริ่มต้นจากระดับที่เหมาะกับตัวเอง ในสังคมที่เรารู้สึกมีความสุข
ผมพบว่าผมถนัดที่จะเรียนรู้ ในสภาพแวดล้อมที่มีความสุขมากกว่า สภาพแวดล้อมที่กดดันเกินไป
แม้ว่าจะไม่ได้เป็นล่ามเต็มตัว แต่การที่ได้คุยงานกับคนญี่ปุ่น ก็พอช่วยฝึกสกิลของเราเพิ่มขึ้นได้
อีกปัจจัยนึง คือ ในแผนกผมมีรุ่นพี่ที่เค้าเก่งมาก และภาษาญี่ปุ่นก็ดีด้วย
ผมเลยได้ยินภาษาญี่ปุ่นทุกวัน ทั้งจากรุ่นพี่เซล และเซลคนญี่ปุ่นในแผนก
เวลาผ่านไปเกือบ2ปี ก่อนที่ผมจะออกจากที่นี่
ผมได้มีโอกาสทำงานล่ามแบบกลายๆ เหมือนหัดทดลองล่ามดูอยู่เหมือนกันครับ
คือเป็นล่ามการคุยกันระหว่างบริษัทผมกับซัพพลายเออร์
เป็นการประชุมที่ไม่ได้ยากอะไรมาก ไม่ได้ซีเรียส
ผมตื่นเต้นไม่ใช่น้อย เพราะทำให้หวนนึกถึงวันเก่าๆที่เราเคยทำพลาดมา
แต่ในวันนี้ผมไม่เหมือนเดิมแล้ว จากการผ่านงานมาที่นี่เกือบ 2 ปี
ผมรู้ขอบเขตหน้างาน รู้จักชื่อและตำแหน่งของบุคคลต่างๆ เข้าใจสตอรี่ของงาน และศัพท์เฉพาะต่างๆในงานมาเยอะแล้ว
ทำให้การแปลในวันนั้นแม้ว่าจะไม่ได้ดีมาก แต่โดยรวม อาจจะเรียกได้ว่า เป็นการทำงานล่ามที่ผมคิดว่าผ่านเกณฑ์แล้วสำหรับผม
อยากเล่าย้อนไปในช่วงที่ทำงาน ปี หรือสองปีแรก ผมมีโอกาสได้ล่ามอยู่หลายครั้ง และทุกครั้งแป๊กไม่เป็นท่าตลอดเลยครับ
ไม่รู้ศัพท์ ฟังไม่ออก พูดให้ญี่ปุ่นเข้าใจไม่ได้
คือรถคว่ำทุกเวทีเลยครับ ไม่เคยจะไปถึงฝั่งเลยสักครั้ง สักประชุมเดียวเลย
ทุกครั้งที่ผมขึ้นประชุม ไม่ว่าจะเป็นประชุมเล็กแค่ไหน รถกะถินผ้าป่าผมคว่ำทุกครั้งเลย
ผมไม่เคยมองเห็นภาพตัวเองแปลได้เลยสักครั้ง นึกยังไงก็นึกภาพนั้นไม่ออกเลยจริงๆ
สรุปผมใช้เวลาประมาณ 10 ปี ถึงจะพึ่งเริ่มแปลได้แบบเด็กพึ่งตั้งไข่ครับ พอจะเดินได้บ้างแต่ไม่มั่นคงเลย เพื่อนๆคิดว่ามันนานมั้ยล่ะครับ
แต่แน่นอนว่าแต่ละคนไม่เหมือนกัน คนที่เก่งๆหลายคน เค้าเป็นล่ามได้ตั้งแต่เรียนเลยก็มี หรือใช้เวลาไม่นานขนาดนี้
อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคนครับ
สำหรับผม การเรียนภาษาญี่ปุ่น กับการทำงานล่าม ต้องแยกกันนะครับ
คนที่เรียนภาษาญี่ปุ่นมามากๆ แต่ไม่เคยล่ามในเรื่องงาน ก็ต้องมาฝึกการทำงานล่ามด้วยนะครับ
แต่ถ้ามีโอกาสได้ทำทั้งสองอย่างไปพร้อมๆกัน ผมคิดว่าอาจจะใช้เวลาประมาณ 4 ปี นะครับ ถึงจะล่ามได้อย่างในระดับโอเค
ผมคิดว่าสิ่งที่กระตุ้นให้ล่ามได้ คือการเรียนรู้งานในที่ทำงานครับ
และการฝึกในเรื่องของการอธิบาย การฟังคำศัพท์ การดึงคำศัพท์มาใช้ สิ่งเหล่านี้ คือการฝึกพูดในหน้างานครับ บางทีเราเรียนภาษาญี่ปุ่นอย่างเดียวมันไม่ได้ฝึกตรงนี้ครับ
ใช้เวลากี่ปีออกมาเป็นล่ามอิสระ?
เรื่องนี้ตลกมาก คือหลังจากที่ผมทำงานเป็นเซลมา 2 ปี ผมลาออกมาก็เป็นล่ามอิสระทันทีเลยครับ
คือ รับงานล่ามแบบชั่วคราวสัญญาระยะสั้น 1 เดือนนะครับ
เรียกว่าเหมือนผมพอตั้งไข่พอจะเดินได้แล้ว ก็เริ่มวิ่งกระโดดหน้าผาเลยครับ
แทนที่จะเริ่มค่อยๆหัดเดิน ค่อยๆเริ่มหัดวิ่ง ผมเริ่มจากบินเลยครับ
มันเหมือนจังหวะมีงานเข้ามาได้ทำพอดี
ซึ่งเรียกว่าเป็นการได้ลองทำงานล่ามแบบฟรีแลนซ์เต็มตัวเป็นครั้งแรก
แม้ว่าก่อนหน้านี้ผมก็เคยรับงานฟรีแลนซ์มาก่อนเหมือนกัน แต่นั้นก็แค่ระยะเวลาสั้นมากแค่วันเดียว
เงินที่ได้ในงานครั้งนี้ก็ค่อนข้างก้าวกระโดดจากที่เก่าพอสมควรเลย
ความตื่นเต้นกดดันมีมากมั้ย ผมรู้สึกว่าไม่ค่อยตื่นเต้นมากเท่าไหร่
น่าจะเป็นเพราะเราทำงานที่เก่ามาสองปี และค่อนข้างไม่ตื่นกับการใช้ภาษาญี่ปุ่นแล้ว
เรียกว่ามีความมั่นใจอยู่ประมาณนึง
ผลปรากฏว่า งานครั้งแรกนี้ ผมค่อนข้างเละครับ แปลไม่ค่อยได้ และโดนญี่ปุ่นประเมินไม่ค่อยดีเท่าไหร่
โดนคนที่ทำงานสับเละเทะ โดนกด โดนว่า โดนด่าจากคนไทยและคนญี่ปุ่นก็เยอะพอสมควร แต่ละคนไม่ให้ความเชื่อมั่นผมครับ
แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาครับ เพราะผลงานเราไม่ดี ความมั่นใจในตัวเราเองก็น้อย พอเรามองใครก็คิดว่าเค้าจะว่าเราอยู่ตลอด
แต่ยังไงสุดท้ายก็ยังได้ทำจนจบสัญญา (แต่เค้าไม่ต่อสัญญานะครับ 555)
แต่ในใจผมไม่รู้สึกท้อแท้เลย กลับกันผมรู้สึกว่ามันเป็นก้าวแรกแห่งการเรียนรู้ของผมครับ และผมตั้งใจว่าจะยึดอาชีพนี้เป็นอาชีพของเราในอนาคตระยะยาวเลย
ผมตั้งใจว่าจะเป็นล่ามที่เก่งให้ได้
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป ผมก็ไม่เคยกลับไปทำงานประจำอีกเลยครับ มีแต่รับงานล่ามฟรีแลนซ์มาโดยตลอดครับ
เรียกว่าผมจบมา 4 ปี ทำงานประจำ และเริ่มอาชีพล่ามฟรีแลนซ์เลย แม้ว่าจะพึ่งจะเริ่มเดินเตาะแตะได้เท่านั้นเอง
สิ่งนึงที่ผมสัมผัสได้ คือ
งานล่ามสัญญาจ้างระยะสั้น บางครั้งไม่แตกต่างกับงานล่ามพนักงานประจำ เพราะการเทคแคร์ การคาดหวังกับล่าม เค้าดูแลเหมือนพนักงานประจำเลย เพียงแค่ลักษณะการจ้างต่างกันเท่านั้นเอง
เรียกว่าเราแม้ว่าจะพึ่งเข้าไปทำงาน แต่หลายบริษัทก็เปิดโอกาสให้เราเรียนรู้งาน เหมือนพนักงานคนใหม่คนนึงในองค์กรเลย
ดังนั้น อย่าพึ่งคิดว่าการเป็นฟรีแลนซ์เป็นสิ่งที่ยาก
อย่างผมเนี่ยเรียกว่า เรียนรู้งานไป พร้อมกับเติบโตไปด้วยเลย
แต่ที่ต้องเรียกว่า งานล่ามฟรีแลนซ์จริงๆ คืองานระแบบระยะสั้น รายวัน
อันนี้ความคาดหวังส่วนใหญ่ คือต้องมาแล้วทำได้ครับ ไม่มีการเรียนรู้งาน ไม่มีสอนงาน
ลูกค้าต้องการให้มาแล้วทำอะไรให้ได้ ก็ต้องแปลให้ได้เลย
เพราะเป็นงานของมืออาชีพ ที่ต้องแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าให้ได้
เหมือนกับงานสายอาชีพอื่นๆแหล่ะครับ เราเรียกช่างแอร์มาก็ต้องซ่อมแอร์ให้เราได้
ไม่มีใช่มั้ยครับ ที่เราเรียกเค้ามาแล้วให้เค้าเรียนงานก่อน 1 เดือน แล้วค่อยซ่อมให้เรา
งานรายวันส่วนใหญ่ก็จะต้องมาแล้ว ปิดจ๊อปให้เค้าให้ได้
แต่วงเล็บ ไว้หน่อย บางงานรายวัน ก็มีโอกาสได้เรียนงานอยู่เหมือนกันนะครับ อิอิ
บางลูกค้าเค้าจ้างระยะยาว แต่เป็นงานรายวัน ในช่วงแรกถ้ามีเวลา บางครั้งก็อาจจะได้เรียนรู้งาน
ก็อยู่ที่โชคที่ดวงกันไปครับ
อาชีพล่ามญี่ปุ่นต้องใช้ใบอนุญาตอะไรมั้ย?
สำหรับในตอนนี้ยังไม่มีนะครับ สำหรับล่ามญี่ปุ่น
ซึ่งแตกต่างกับไกด์นะครับ ที่ต้องมีการเรียน การสอบเอาใบอนุญาตตามกฏหมายบังคับ
แต่อาชีพมีเอกสารอย่างเดียวที่มักจะรีเควสกัน (แต่บางทีก็ไม่ต้องการนะครับ)
เอกสารนั้นคือ ใบทดสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นJLPT (Japanese-Language Proficiency Test)
ซึ่งส่วนใหญ่ที่เค้าต้องการจะเป็นระดับ N3 ขึ้นไปนะครับ ถึงจะใช้สมัครงานได้
ถ้าเป็นล่ามอิสระก็ต้อง N2 ขึ้นไป
นอกจากนั้นก็ไม่ได้บังคับว่าต้องใช้เอกสารอะไร
ไม่ได้มีกฏหมายอะไรบังคับว่าต้องใช้เอกสารอะไรในการอาชีพนี้
ก็ถือว่าอาชีพนี้ค่อนข้างเป็นอาชีพ ที่ถ้ามีความสามารถเฉพาะตัว มีใบสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่น และมีประสบการณ์ที่สนับสนุนการทำงาน ก็มีโอกาสจะได้งานล่าม
งานล่ามถือว่าเป็นอาชีพที่เงินใช้ได้ประมาณนึง
ในขณะนี้ แต่ในอนาคตคิดว่า ไม่น่าจะได้เงินที่เยอะมากไปกว่านี้แล้ว กลับกันน่าจะมีแต่ได้เงินลดลงเรื่อยๆ ถึงจะไม่อยู่ในระดับตะวันตกดิน แต่ถ้าเทียบกับเม็ดเงินในสมัยก่อนแล้วถือว่าลดลงมาก
แต่ไม่ว่ายังไงก็แล้วแต่ ผมเชื่อว่า ความรู้ไม่มีวันตาย แม้ว่าจะประกอบอาชีพนี้ได้เงินไม่เยอะเหมือนเมื่อก่อน แต่ความรู้ตรงนี้ก็น่าจะต่อยอดไปทำอะไรอย่างอื่นได้อีกแน่นอน