ภาษาญี่ปุ่นเรียนยากมั้ย

เรียนภาษาญี่ปุ่นยากมั้ย?

แชร์บทความนี้

มีเพื่อนๆหลายคนที่ไม่เคยเรียนภาษาญี่ปุ่นมักชอบถามผมมาครับ

หนึ่งในคำถามยอดฮิต คือ เรียนภาษาญี่ปุ่นยากมั้ย?

ถ้าตอบสั้นๆเลย ก็คงบอกว่า ยากครับ

แต่ความยากก็มีระดับของมันนะครับ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์

ต้องการอ่านการ์ตูนได้ อ่านไลโนเวลได้

ต้องการฟังอนิเมะรู้เรื่อง

ต้องการสื่อสารแบบคร่าวๆ สื่อสารในชีวิตประจำวันได้

ต้องการใช้งานสื่อสารสั่งงานกับคนญี่ปุ่นพอรู้เรื่อง

ต้องการเป็นล่ามได้

ต้องการแปลเอกสารราชการได้

แต่ละระดับมีความยากง่ายต่างกัน

ระดับของภาษาญี่ปุ่น

ขออธิบายให้ฟังก่อนว่า ภาษาญี่ปุ่นมีระดับของภาษาที่ประเทศไทยส่วนใหญ่ใช้กันคือ ระดับJLPT

โดยแยกระดับ ออกเป็น 5 ระดับ N1,N2,N3,N4,N5

ระดับที่ง่ายที่สุดคือระดับ N5 มีตัวคันจิ 300ตัว คำศัพท์ 1,500คำ ระยะเวลาในการเรียนประมาณ 300-400 ชั่วโมง

เป็นระดับที่พอจะรู้จักตัวอักษรภาษาญี่ปุ่น คาตาคางะ ฮิระกานะ คันจิ รู้จักศัพท์ ประโยค ที่ใช้ในชีวิตประจำวันอย่างง่ายๆ   สามารถฟังประโยคที่ใช้ในชีวิตแบบง่ายๆ สั้นๆ และพูดช้าๆได้

ระดับที่สูงที่สุด คือระดับ N1  มีตัวคันจิ 2000 ตัว คำศัพท์ 10000 คำ ระยะเวลาในการเรียนประมาณ 900-1200 ชั่วโมง (โดยเฉลี่ยถ้าได้เรียนอย่างเข้มข้น ยิ่งถ้าได้ไปเรียนที่ญี่ปุ่นก็ใช้เวลาประมาณ 4 ปี )

เป็นระดับที่สามารถอ่านบทความที่ซับซ้อน หนังสือพิมพ์ บทวิจารย์ บทความเชิงนามธรรม สามารถฟังข่าว บทสนทนา ในระดับความเร็วปกติได้ ถ้าเปรียบเทียบง่ายๆก็คือ มีความรู้ภาษาญี่ปุ่นในระดับที่เรียนมหาวิทยาลัยที่ญี่ปุ่นได้

 

สำหรับรายละเอียดชั่วโมงการเรียน อันนี้เป็นข้อมูลคร่าวๆนะครับ

ระดับของN5 อาจจะประมาณนั้น หรืออาจจะใช้เวลาสั้นกว่านั้นอีกครับ เพราะไม่ยากจริงๆ

แต่ระดับN1 บางครั้งเรียนถึง 1200 ชั่วโมงแล้วก็ยังไ่ม่ผ่านก็มีเยอะนะครับ

โดยส่วนตัวคนรอบข้าง และล่ามที่พบในที่ทำงานหลายๆที่ พบว่าได้ระดับ N1 น้อยมาก

ที่ได้ N1ส่วนใหญ่คนที่ไปเรียนที่ญี่ปุ่นมา

 

ระดับJLPT บางครั้งไม่ได้เกี่ยวข้องกับความสามารถในการล่ามทั้งหมด

เพราะถึงได้ N1 มา แต่ไม่รู้จักศัพท์หน้างาน ไม่รู้กระบวนการ ก็แปลไม่ได้อยู่ดี

แต่สิ่งที่คนที่ได้ N1 มาแน่ๆ คือ ความสามารถในการใช้คำศัพท์และรูปประโยคที่กว้างมากกว่า N2

และงานบางงานก็รีเควสระดับ N1 ไม่เอา N2 ก็มี แน่นอนว่าสอบได้ N1 ก็จะได้เปรียบมากกว่า

แต่โดยส่วนตัวผมก็เห็นงานบางอย่างที่คนN2 ได้เงินเยอะกว่าN1 ก็มีเยอะเหมือนกันครับ

 

ประสบการณ์ส่วนตัวในการเรียนภาษาญี่ปุ่น

สำหรับผมในช่วงแรกที่ได้เริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่น คือตอนม.ปลาย

ตอนนั้นตั้งใจไว้ว่าจะเข้ามหาวิทยาลัยโดยเรียนด้านภาษาญี่ปุ่น

แต่สายวิชาที่เรียนตอน ม.ปลาย เป็นสายวิทย์ ไม่ได้มีวิชาเลือกให้เรียนภาษาญี่ปุ่นเลย

เลยไปลงเรียนภาษาญี่ปุ่นแบบจากโรงเรียนพิเศษ เรียนอยู่ประมาณ ปีครึ่งเท่านั้น ตั้งแต่ไม่รู้อะไรเลย

 

ช่วงแรกของการเรียนผมรู้สึกสนุกมาก ได้เรียนตัวอักษรญี่ปุ่น ศัพท์ญี่ปุ่น เหมือนกลับไปเป็นเด็กอนุบาลใหม่

มันง่ายและได้เรียนรู้เรื่องใหม่ๆที่เราสนใจ ภาษาไม่ใช่เรื่องซับซ้อน เข้าใจยากแบบพวกวิชาสายวิทย์

พอได้ลองคิดดูว่าตอนเข้ามหาลัยจะได้เรียนเรื่องพวกนี้ ที่เราสนุกกับมันก็รู้สึกว่ามีความสุขดี

 

พอเข้ามหาลัยได้ เรียนไปถึงปี 2 อาจารย์ก็ให้ไปสอบวัดระดับ ตอนนั้นไปสอบ3คิว (เทียบเคียงประมาณ N3-N4 ในสมัยนี้ )

สามารถสอบผ่านได้ไม่ลำบากเท่าไหร่ วัดจากการที่ไม่ได้อ่านหนังสืออะไรไปเลย

คิดว่าถ้าเรียนไปตามหลักสูตรของมหาวิทยาลัย การสอบผ่าน 3 คิว เป็นเรื่องที่ไม่ยากเย็น

 

แต่สำหรับN2 ค่อนข้างยากมาก ระดับของภาษาญี่ปุ่น จะค่อนข้างกระโดด ตั้งแต่ N3 N2 N1

ในมหาวิทยาลัยของผมคนที่จบแล้วสอบผ่านN2 ได้มีน้อยมาก และยิ่งN1 เรียกได้ บางรุ่นก็มีผ่าน บางรุ่นก็ไม่มีเลย

บางมหาลัยที่มีชื่อเสียงก็จะมีจำนวนนักศึกษาผ่าน N2 มากขึ้นในระดับนึง แต่ N1 ก็เป็นอะไรที่ยากจริงๆ มีจำนวนไม่มากที่ผ่านได้

 

ในช่วงที่เรียนอยู่ปี 1-2 เป็นช่วงท่องจำ จำศัพท์ใหม่ จำคันจิใหม่ จำไวยากรณ์ใหม่

มีสอบเกือบทุกสัปดาห์ กิจวัตรประจำวันที่ต้องทำทุกวันคือการท่องศัพท์

ถามว่าเบื่อไหม ก็ยังสนุกอยู่

พอผมเรียนไปถึงช่วงปี3-4 ผมกลับเริ่มรู้สึกว่า ไม่ค่อยสนุกกับภาษาญี่ปุ่นสักเท่าไหร่แล้ว

ตอนนั้นการเรียนก็ยังพอไปได้ ไม่ได้เกรดดีเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ถึงขนาดสอบตก

แต่ไฟมันเหมือนหมด ยิ่งเรียนยิ่งรู้สึก ไม่ค่อยสนุก ไม่มีความอยากรู้เพิ่มเติม

น่าจะเป็นเพราะว่าโลกในการใช้ภาษาญี่ปุ่นของผมแคบ

ไม่ได้มีเพื่อนฝูงคนญี่ปุ่น ไม่ได้มีโอกาสได้ไปประเทศญี่ปุ่น

และภาษาญี่ปุ่นขอบข่ายกว้างมาก คือ มีเรื่องให้เรียนอยู่ตลอด

พอเราไม่รู้ว่าจะเรียนเพื่อทำอะไร เราเลยเริ่มตัน

สุดท้ายก็เรียนจนจบมาได้ แม้ว่จะไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่

 

พอเริ่มมาทำงานเราเริ่มเห็นจุดอ่อนของภาษาญี่ปุ่นเราเยอะขึ้น

รู้ว่าต้องเสริมความรู้ให้มากขึ้น ไม่งั้นจะทำงานไม่ได้

ทำให้เป้าหมาย เพื่อให้สามารถทำงานได้ดีขึ้น

แต่ความรู้สึกก็ยังคงไม่สนุกเท่าไหร่เหมือนเดิม

 

เวลาผ่านมาหลายปีทำงานกับบริษัทญี่ปุ่นมามากขึ้น

ประเทศญี่ปุ่นเริ่มเปิดให้เข้าโดยไม่ต้องใช้วีซ่า เริ่มได้ไปเที่ยว

ทำให้รู้สึกสนุกขึ้นเยอะเลย ในการเรียนภาษาญี่ปุ่น

พอเราสนใจประเทศนี้ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม สถานที่ท่องเที่ยว

ทำให้มีแรงใจในการเรียนเพิ่มขึ้นเยอะเลย ในปัจจุบันผมรู้สึกว่าชอบภาษาญี่ปุ่นนะ

พอเราเริ่มชอบ อยากเรียนรู้ อยากเก่งขึ้น รู้สึกว่าทำงานสนุกขึ้นเยอะเลยนะครับ

 

ความต่างระหว่างภาษาญี่ปุ่นและภาษาไทย

-รูปประโยคของภาษาญี่ปุ่น จะเรียงลักษณะนี้

ประธาน + กรรม+ กริยา

การอ่านภาษาญี่ปุ่น แปลจากหลังมากด้านหน้า คือเราจะรู้ก่อนว่าประธานคือใคร แต่กว่าจะรู้ว่ากริยาทำอะไร ต้องดูที่ประโยคหลังสุดเลย

-ตัวอักษร มี 3 ชนิด คือ 

1.ฮิรางานะ เป็นตัวอักษรสำหรับใช้ในการออกเสียง

 1 ตัวอักษรมีเสียง 1 พยางค์ ใน 1 ตัวอักษร สามารถอ่านและออกเสียงมาได้เลย เพราะมีพยัญชนะและสระกำกับอยู่ในตัว

2.คาตาคานะ มีเสียงเหมือนกับฮิราานะเลย แต่เขียนต่างกันและใช้เป็นตัวอักษรแทนเสียงภาษาต่างประเทศ

3.ตัวคันจิ เป็นตัวอักษรจีนที่คนญี่ปุ่นนำมาประยุกต์ใช้ โดยใน 1 ตัวอักษรจะมีความหมายในตัว และมีคำอ่านได้มากกว่า 1 คำ

ข้อดีของคันจิคือเห็นคำแล้วพอเดาความหมายออกได้เลย

แต่ข้อเสียคือ บางทีแม้คนญี่ปุ่นเองก็ไม่รู้ว่าคันจิตัวนี้อ่านว่ายังไง และตัวคันจิมีเยอะมากกกก น่าจะมีเป็นหมื่นตัว แต่ใช้จริงไม่ถึงขนาดนั้น

ถ้าถามว่าเค้าใช้ชนิดไหน ตอบได้ว่า ญี่ปุ่นใช้ทั้งสามชนิดผสมกันเลยครับ 

-คำศัพท์ของญี่ปุ่นมีเยอะมาก จนผมรู้สึกว่าคำเค้าน่าจะเยอะกว่าภาษาไทย

-ภาษามีระดับของการใช้เรื่องความสุภาพที่จะใช้กับแต่ละบุคคล

เช่น คำสุภาพสำหรับคนที่เหนือกว่าเรา หัวหน้า ผู้ใหญ่ คำสุภาพที่ใช้กับคนที่อยู่ในระดับเดียวกับเรา และคำที่เป็นกันเองใช้กับคนที่อยู่ระดับล่างกว่า

-คนญี่ปุ่นขยันสร้างคำเฉพาะมาในแต่ละวงการมากๆ  อย่างเช่น ในโรงงาน คำว่า”เช็ค หรือ ตรวจสอบ” มีหลายคำมากเช่น 点検、検査、調査、確認 และแต่ละคำ เป็นการเช็คคนละอย่างกันด้วยนะครับ ต้องเลือกใช้ให้ถูก

-การออกเสียงของภาษาญี่ปุ่นไม่ยากเท่าภาษาไทย  ญี่ปุ่นไม่มีเสียงวรรณยุกต์แบบบ้านเรา เรื่องออกเสียงสูงต่ำ ไม่ใช่ปัญหาสำหรับคนไทย

ส่วนใหญ่จะเป็นคนญี่ปุ่นที่พูดไทยจะมีปัญหาในการออกเสียงผิดคีย์ 5555

-รูปไวยากรณ์ของภาษาญี่ปุ่นมีเยอะมาก และซับซ้อน ซ้ำซ้อนด้วย ผมคิดว่าเยอะกว่าของไทยนะ แต่แปลกที่ของไทยกลับรู้สึกว่าเวลาพูด จะเอาคำมาต่อแบบไหนก็ยังพอเข้าใจได้ แต่ของญี่ปุ่นเอาคำมาเรียงๆต่อๆ กลับไม่เข้าใจนะ

-คำช่วย คำวิเศษณ์ ใส่ผิดความหมายผิดเลย ตอนทำข้อสอบใส่คำช่วยนี่สับสนมากเลย หลากหลายและซ้ำกันเยอะมาก แม้แต่ปัจจุบันแปลอีเมลล์ ตอนแต่งประโยคภาษาญี่ปุ่นยังสับสนเลย

-ภาษาญี่ปุ่นมี จุดฟูลสต๊อป (。)เหมือนภาษาอังกฤษ ทำให้ช่วยแบ่งประโยคเข้าใจได้ง่าย 

-ระบบของ Tense(รูปแบบของกริยาตามเหตุการณ์และเวลา) แบบภาษาอังกฤษ แต่ไม่ได้มีเยอะเท่าภาษาอังกฤษ

ทำให้ภาษาญี่ปุ่นต้องจำในเรื่องของการผันกริยาให้ถูก Tense ด้วย 

-การผันคำกริยาในหลายๆรูป เช่น รูปถูกกระทำ รูปคำสั่งให้ทำ รูปการให้ รูปการได้รับ

และคำกริยาต่างๆจะถูกจัดเป็นกลุ่ม ในแต่ละกลุ่มจะมีลักษณะการผันที่ต่างกัน

 

เล่ามาให้ฟังอาจจะดูเยอะ แต่อย่าพึ่งท้อนะครับ

ทุกอย่างมีขั้นมีตอน มีระดับการเรียนรู้จากเบื้องต้นไปถึงขั้นสูง

เราไม่ได้ใช้เวลาในวันเดียวที่ต้องจำให้ได้ 

ผมคิดว่าทุกคนสามารถเรียนได้ครับ

อย่าไปเปรียบเทียบกับใคร ขอให้เราดีกว่าเมื่อวานได้ก็ดีมากแล้วครับ

ขอให้มีความสุขในการเรียนภาษาญี่ปุ่นครับ

Facebook Comments Box

แชร์บทความนี้
Author: hailamloa
ล่ามภาษาญี่ปุ่นที่ชอบเรื่องธุรกิจ การลงทุน อสังหา บอร์ดเกม เล่นเกม เล่นหมากรุก